
ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล จาก iPad 1 ที่สามารถทำรายได้อย่างถล่มทลาย จากยอดขายทั่วโลกกว่า 15 ล้านเครื่อง จนได้รับฉายาว่า เป็นแท็บเล็ตแห่งปี 2010 ก่อนจะเปิดตัวคลื่นลูกใหม่ ภาคต่อของ iPad 1 อย่าง iPad 2 ที่เปิดตัวไปอย่างยิ่งใหญ่สมการรอคอย ไปเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2554 ซึ่งการออกแบบของ iPad 2 นั้น ไม่แตกต่างจาก iPad รุ่นแรกเท่าไรนัก ต่างกันก็ตรงที่ ตัวเครื่องบางลง พร้อมกล้องหน้าและกล้องหลัง รวมไปถึงระบบประมวลผลแบบ Dual-Core อย่างไรก็ดี สาวก iPad ที่เฝ้ารอ iPad 2 นั้น ส่วนหนึ่งต่างคาดหวังกับความละเอียดของกล้องถ่ายรูปที่ถูกเพิ่มเข้ามาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งอาจจะผิดหวังเล็กน้อย เพราะกล้องที่ได้มานั้น ไม่ได้ละเอียดเท่าที่ควร โดยมีความละเอียดอยู่ที่ 0.7 ล้านพิกเซล เท่านั้น
สำหรับ iPad 2 นั้น ยังคงไม่รองรับ Flash Player เช่นเดิม อีกทั้งยังไม่มี USB port ที่เป็นมาตรฐานเหมือนยี่ห้ออื่นๆ ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์เสริมที่ผลิตโดย Apple อย่างเดียว อย่างไรก็ตาม iPad 2 รุ่น Wi-Fi นั้น ไม่มีระบบ GPS ซึ่งถ้าต้องการ iPad 2 ที่รองรับ GPS ล่ะก็ จะต้องใช้รุ่นที่รองรับ 3G เท่านั้น นอกจากนี้ iPad 2 ยังผลิตออกมาทั้งหมด 2 สี คือ สีดำ และสีขาว รวมทั้ง iPad Smart Cover ซึ่งเป็นแผ่นปิดหน้าจอ ที่ใช้เทคโนโลยีแม่เหล็ก และสามารถพับตั้งใช้งานได้ทันที อีกทั้งยังทำมาจากไมโครไฟเบอร์ ที่สามารถทำความสะอาดหน้าจอได้ในตัว
สเปค Apple iPad 2 แบบคร่าวๆ
- หน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว แบบ IPS Touchscreen Display ความละเอียด 1024 x 768 พิกเซล
- ประมวลผลการทำงานด้วย Dual-Core Apple A5 ARM Cortex A9 Processor ความเร็ว 1GHz, RAM 512MB
- ระบบประมวลผลกราฟฟิก แบบ PowerVR SGX543MP2
- ระบบปฏิบัติการ iOS 4.3
- รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 2.1 + EDR, 3G
- กล้องดิจิตอลด้านหลังความละเอียด 0.7 ล้านพิกเซล แบบ Auto-focus (720p) ในขณะที่กล้องด้านหน้าเป็นแบบ VGA
- น้ำหนัก 601 กรัม สำหรับรุ่น Wi-Fi และ 607 กรัม สำหรับรุ่น 3G
แกะกล่อง iPad 2



อุปกรณ์ที่ได้มาในกล่องนั้น ได้แก่ คู่มือการใช้งาน, ที่ชาร์ตแบตเตอรี่ และ สาย USB ซึ่ง iPad 2 นั้น ไม่มีหูฟังให้ เช่นเดียวกับ iPad รุ่นแรก
โครงสร้างและการออกแบบ
ตัวเครื่องนั้น ด้านหลังทำมาจากอะลูมิเนียม มีความหนาเพียง 8.8 มิลลิเมตร ซึ่งบางกว่า iPad รุ่นแรกประมาณ 33% อีกทั้ง iPad 2 ยังถูกออกแบบให้ขอบของตัวเครื่องมีความโค้งมน เช่นเดียวกับดีไซน์ของ iPhone 3 รุ่นแรก และ iPod Touch ทำให้สะดวกสบายต่อการพกพา เนื่องจากมีน้ำหนักที่เบา และจับถนัดมือ

ด้านขวาของตัวเครื่องนั้น ประกอบไปด้วย ปุ่มปรับเสียง และปุ่มปิดเสียง (Mute) โดยปุ่มปิดเสียงนั้น สามารถเปลี่ยนเป็นปุ่มล็อคการหมุนของหน้าจอได้ (Screen Lock Rotation) ได้ โดยการเข้าไปตั้งค่าใน Settings

ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ช่องสำหรับหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร (ซ้าย), ไมโครโฟน (กลาง) และปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง (ขวา)

ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ลำโพง (ซ้าย) และ Dock Connector (กลาง)

ด้านบนของหน้าจอนั้น ประกอบไปด้วย กล้อง VGA สำหรับการใช้งาน FaceTime และ Ambient Light Sensor เซนเซอร์สำหรับตรวจวัดระดับความสว่าง เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอและแผงปุ่มกดให้เหมาะสม

ด้านหลังของตัวเครื่อง เป็นกล้องความละเอียด 0.7 ล้านพิกเซล สามารถบันทึกวิดีโอขนาด 720p ได้
iPad Smart Cover


อุปกรณ์เสริมตัวเด่น อย่าง Smart Cover ที่มีลักษณะคล้ายปกหนังสือ ใช้ยึดติดกับหน้าจอของ iPad 2 ด้วยเทคโนโลยีแม่เหล็ก และปรับตำแหน่งให้พอดีแบบอัตโนมัติ โดย Smart Cover นั้น ทำมาจากผ้าไมโครไฟเบอร์ ที่ช่วยทำความสะอาดหน้าจอได้ในตัว อีกทั้งยังสามารถพับและตั้งใช้งานได้เลยทันที เมื่อเปิด Smart Cover ออก iPad 2 จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ และเข้าสู่โหมด Sleep เมื่อปิดแผ่น Smart Cover นอกจากนี้ ยังมีหลายสีให้เลือกตามความชอบของผู้ใช้งาน
ปรับปรุงจอแสดงผลให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น

เปรียบเทียบความสว่าง Contrast ระหว่าง iPad รุ่นแรก (ซ้าย) และ iPad 2 (ขวา)
ขนาดของจอแสดงผลใน iPad 2 นั้น มีขนาดเท่ากับ iPad รุ่นแรก แต่ iPad 2 จะปรับองศาการมองให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งได้ภาพและสีสันที่ดีกว่า iPad รุ่นแรก โดย iPad 2 มีมุมมองชัดเจนสูงสุดอยู่ที่ 178 องศา
ความสามารถของ iOS 4.3

สำหรับ iOS 4.3 นั้น ทาง Apple เปิดให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา ซึ่ง iOS 4.3 นั้น มีฟีเจอร์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็น การสลับปุ่มปิดเสียง (Mute) ให้เป็นปุ่มล็อคหน้าจอ หรือการใช้งานแบบ Home Sharing ที่สามารถดูหนัง ฟังเพลง ที่อยู่บนเครื่อง Mac หรือ PC บน iPad ได้ โดยที่ไม่ต้องมีไฟล์นั้นอยู่ในเครื่อง รวมไปถึง การทำให้อุปกรณ์ กลายเป็น Hotspot ได้ (เฉพาะ iPhone 4 เท่านั้น)
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่จะเปิดให้ดาวน์โหลด iOS 4.3 นั้น มีฟังก์ชั่น Multi-touch Gestures หรือการใช้งานด้วยนิ้วทั้ง 5 นิ้วเพิ่มเข้ามา แต่หลังจากนั้น ทาง Apple ได้ออกมาประกาศว่า iOS 4.3 จะเอาฟังก์ชั่นนี้ออก ทำให้ผู้ที่ดาวน์โหลด iOS 4.3 ไปใช้นั้น ไม่สามารถใช้งาน Multi-touch Gestures อย่างไรก็ดี มีผู้ค้นพบวิธีการปลดล็อคเพื่อใช้งาน Multi-touch Gestures โดยไม่ต้อง เจลเบรก ได้แล้ว ซึ่งจะต้องใช้เครื่อง Mac กับ Mac OS X และ Xcode dev Tools เพื่อทำการปลดล็อค
วิดีโอสาธิตการทำงานของฟังก์ชั่น Multi-touch Gestures
กล้องด้านหน้าและด้านหลัง

อีกหนึ่งส่วนที่มีการเพิ่มเข้ามาใน iPad 2 นั้น คือ กล้องถ่ายรูปด้านหน้า และด้านหลัง โดยกล้องด้านหน้านั้น เป็นแบบ VGA สำหรับการใช้งาน FaceTime ในขณะที่กล้องด้านหลัง ความละเอียด 0.7 ล้านพิกเซล ซึ่งการเพิ่มฟังก์ชั่นกล้องถ่ายรูปเข้ามานั้น อาจจะเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังเล็กน้อย สำหรับผู้ที่รอ iPad 2 พร้อมกล้องความละเอียดสูง ซึ่งเมื่อเทียบคุณภาพของรูปถ่ายที่ได้นั้น ไม่ดีเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของ iPad 2 ที่ Apple หวังไว้ ไม่ได้เอามาใช้งานในเรื่องของการถ่ายภาพเป็นหลัก แต่เน้นให้ iPad 2 ใช้งานในด้านอื่นๆ มากกว่า นอกจากนี้ คงจะไม่สะดวกนัก ถ้าหากจะยก iPad 2 ขนาด 10 นิ้ว มาถ่ายรูป เมื่อเทียบกับการใช้ iPhone 4 ถ่ายรูป
สำหรับการบันทึกภาพวิดีโอนั้น สามารถบันทึกได้ความละเอียดสูงสุดถึง 720p (30fps) เลยทีเดียว
ภาพถ่ายที่ได้จากการใช้กล้องใน iPad 2


Photo Booth และ FaceTime

Photo Booth
เนื่องจากมีกล้องถ่ายรูปเพิ่มเข้ามา จึงทำให้ iPad 2 มีแอพพลิเคชั่นที่เรียกว่า Photo Booth เพิ่มเข้ามาด้วย โดยแอพพลิเคชั่น Photo Booth นั้น เป็นเสมือนโปรแกรมตกแต่งภาพ คล้าย Photoshop

User Interface ของ FaceTime
นอกจาก แอพพลิเคชั่น Photo Booth แล้ว อีก 1 แอพพลิเคชั่นยอดฮิตของ Apple อย่าง FaceTime ก็เป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาเช่นกัน โดยสามารถคุยบน FaceTime ข้ามระบบกัน ทั้งจาก iPhone 4, iPod Touch, iPad 2 รวมไปถึง MacBook ได้ด้วย
Safari Web Browser

สำหรับ iOS 4.3 นั้น Apple ได้ปรับปรุงความสามารถของบราวเซอร์อย่าง Safari ให้โหลดได้เร็วขึ้น รวมไปถึงเรื่องการสัมผัส ที่สามารถทำได้ไหลรื่นมากกว่าเดิม มีการเพิ่มฟังก์ชั่น Multiple tabs หรือการเปิดเว็บไซต์หลายๆ หน้า อย่างไรก็ดี iPad 2 ยังไม่สามารถรองรับ Flash Player ได้ดังเดิม
ทดสอบประสิทธิภาพของระบบประมวลผล ความเร็ว 1GHz
เป็นที่ทราบกันดีว่า iPad 2 นั้น ใช้ระบบประมวลผลแบบ Dual-Core ความเร็ว 1GHz ซึ่งเมื่อเทียบกับ iPad รุ่นแรก ในการเปิดแอพพลิเคชั่นต่างๆ นั้น พบว่า เร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด ประมาณ 50% เลยทีเดียว
ทดสอบความเร็วในการเปิดแอพพลิเคชั่นต่างๆ ระหว่าง iPad รุ่นแรก กับ iPad 2
ทดสอบความเร็วในการเปิดเครื่อง ระหว่าง iPad รุ่นแรก และ iPad 2
บทสรุป
หลังจากที่ Apple เปิดขาย iPad 2 ทางฝั่งอเมริกาได้เพียงแค่ 2 วัน ก็เกิดอาการ "ของขาดตลาด" แสดงให้เห็นถึง กระแสความนิยมในตัวสินค้าที่ ผู้บริโภค มีต่อ iPad 2 นั้น มีมากขึ้น นับตั้งแต่การบุกตลาด แท็บเล็ต ของ iPad รุ่นแรก ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดกระแส แท็บเล็ต กระจายไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยใช้ iPad รุ่นแรกอยู่แล้ว อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องขาย iPad ทิ้ง เพื่อมาซื้อ iPad 2 แทน เพราะ iOS 4.3 นั้น ยังสามารถอัพเดตลงใน iPad รุ่นแรกได้อยู่แล้ว ในขณะที่กล้องถ่ายรูปใน iPad 2 อาจจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่จำเป็นนัก สำหรับผู้ที่ไม่ได้สนใจในเรื่องการถ่ายรูป iPad 2 ไม่ใช่รุ่นอัพเกรดจาก iPad รุ่นแรก แต่เป็นการลุยตลาด แท็บเล็ต เพื่อเพิ่มผู้บริโภคกลุ่มใหม่จากทาง Apple มากกว่า
------------------------------
แปลและเรียบเรียงโดย : NF Staffs
ที่มา : gsmarena